28-29 มีนาคม 2550
“ดูเด็กสมัยนี้สิ ใส่เสื้อรัดติ้วกระโปรงสั้นจู๋ไปเรียนหนังสือ ฉันอยากจะโทรเรียกกระทรวงวัฒนธรรมมาจับจัง”
“Don’t be so uptight. ถ้าเขาแต่งตัวผิดระเบียบ ทางมหาวิทยาลัยก็คงจะจัดการเองแหละ คงไม่ต้องเดือดร้อนถึงหน่วยงานระดับชาติหรอก เด็กผู้หญิงก็ชอบแต่งตัวตามสมัยนิยมอย่างนี้แหละ”
“นี่เธอ ดูที่ฉันชี้ซะก่อน ฉันหมายถึงนักศึกษาผู้ชายที่แต่งตัวอย่างนั้น ดูสิ แต่งหน้าทาปากซะ”
“ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลเขานี่ เธอไปเดือดร้อนอะไรด้วย Get a life น่า”
“อะไรกัน ยัยมารศรี เดี๋ยวก็หาว่าฉัน uptight เดี๋ยวก็บอกฉันให้ get a life ฉันมีอยู่แล้วนะ ชีวิตเนี่ย เธอไม่ได้พูดกับผีอยู่นะยะ”
“uptight (อัพไท่ท์) หมายความว่า เคร่งเครียดจัด ไม่มีอารมณ์ขัน ไม่รู้จัก chill (ชิล) = ทำอารมณ์สบายๆ ส่วน Get a life. เป็นสำนวนที่ใช้พูดกับคนที่สนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของชาวบ้าน เป็นการบอกว่าอย่ามาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้เลย ไปมีชีวิตของตัวเองซะจะดีกว่า อย่าทำตัวเหมือนพวก Taliban หน่อยเลย เอ หรือในกรณีของเธออาจต้องเรียกว่า Thailiban”
“ก็ฉันทนไม่ได้นี่ มันขัดสายตาเหลือเกิน แต่งตัวยั่วยวนยังงี้ทำวัฒนธรรมไทยเสื่อมเสียหมด แล้วต่างชาติจะมองเรายังไงเนี่ย”
“เธอไปสนใจทำไมว่าต่างชาติจะมองอย่างไร เธอคิดว่าวัฒนธรรมไทยเดิมผู้หญิงจะต้องแต่งตัวมิดชิดอย่างนั้นหรือ ฉันขอบอกให้ว่าแต่เดิมนั้นผู้หญิงไทยเปลือยอกเป็นเรื่องธรรมดา แต่หมอสอนศาสนาฝรั่งที่เข้ามาพร้อมกับค่านิยมยุควิคตอเรียที่ uptight หาว่าป่าเถื่อน นี่ไงที่มาของวัฒนธรรมไทยที่ดีงามของเธอ”
“ฉันไม่เชื่อหรอก มารศรี วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมที่ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว แต่งตัวมิดชิด ไม่ใช่รัดติ้วเปิ๊ดสะก๊าดยังงี้”
“นั่นคือวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยไง แต่ถ้าเธอไปอ่านพวกบันทึกของหมอสอนศาสนารุ่นแรกๆ จะพบว่าคนไทยเดิมไม่ได้เป็นอย่างนั้น แตกหนุ่มแตกสาวไม่เท่าไหร่ก็แต่งงานกันแล้ว มีลูกกันแล้ว แต่วัฒนธรรมฝรั่งเป็นวัฒนธรรมหลักของโลกปัจจุบัน เราก็เลยต้องเดินตาม ต้องเรียบร้อยตามเขา let it all hang out เหมือนแต่ก่อนไม่ได้ แล้วเราก็ลืมซะเองว่าของเดิมเราเป็นอย่างไร นึกว่าความคิดที่เขาปลูกฝังให้เป็นของเราเอง”
“ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด แต่ถึงเธอพูดจริงฉันก็จะไม่มีวัน let it all hang out เป็นอันขาด ขืนปล่อยให้ห้อยออกมาเดี๋ยวก็ยานหมด”
“บ้าสิ let it all hang out (เล็ดดิดดอลแฮ็งเง่าท) เป็นสำนวนย่ะ หมายความว่า ทำตัวตามสบาย หรืออาจจะแปลว่า พูดอย่างเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ ก็ได้ แต่ประเด็นของฉันคือ ไทยเราเป็น melting pot (เม็ลถิ่ง ผ็อท) แต่ไหนแต่ไรแล้ว คล้ายๆ กับอเมริกานั่นแหละ เราถึงเจริญรุ่งเรืองมาถึงขนาดนี้ เพราะเราไม่รังเกียจสิ่งที่เป็นต่างชาติ แต่รับและปรับมันจนกลายเป็นของเราเอง จนเราลืมว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมันเคยเป็นสิ่งแปลกปลอม”
“ไม่รู้หละ ฉันเป็นคนหัวโบราณ รับไม่ได้ที่วัยรุ่นสมัยนี้ทำตัวแบบนั้น”
“ถ้าเธอหัวโบราณจริงก็น่าจะรับได้นะ แต่ฉันว่าเธอเป็นพวก fuddy-duddy มากกว่า ความคิดคร่ำครึ ใจแคบ รับไม่ได้ที่คนอื่นคิดนอกกรอบที่เธอวางไว้”
“แล้วมันเสียหายตรงไหนยะถ้าฉันจะเป็นแบบนั้น ฉันว่าดีซะอีก จะได้ไปสมัครงานที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ เชอะ”
Session expired
Please log in again. The login page will open in a new tab. After logging in you can close it and return to this page.